วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

นักแสดง

นักแสดง คือ บุคคลที่ประกอบอาชีพเป็นผู้แสดง เช่น ศิลปิน, นักรำ, นักเต้น, นักดนตรี ซึ่งแสดง ท่าทาง ร้องกล่าว พากย์ แสดงตามบทเพื่อเผยแพร่ต่อผู้ชม และอื่นอื่น ซึ่งเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ตามหลักทั่วไป กล่าวคือ เป็นผู้ที่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์งานขึ้นมา
นักแสดงนั้น ไม่จำกัดว่าจะเป็นบุคคลเพศ, อาชีพ, หรือ อายุเท่าไร แต่จำเป็นต้องมีความสามารถทางด้านการการแสดงออกทางสีหน้า อารมณ์และองค์ประกอบอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยมาก คำว่า นักแสดง มักจะใช้เรียกว่า ดารา เสมอไป

ประเภท
นักแสดงมี 5 ประเภท ดังนี้

นักแสดงชาย เรียกว่า ดาราชาย
นักแสดงหญิง เรียกว่า ดาราหญิง
นักแสดงตลก เรียกว่า ดาราตลก
นักแสดงแทน เรียกว่า สตันท์แมน

นักแสดงประกอบ เรียกว่า ตัวประกอบฉาก

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%87

10 ความแตกต่างระหว่างชายหญิง ที่ควรทำความเข้าใจ

 หลายคนคงจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์ ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ที่สื่อความให้เข้าใจว่าผู้ชายกับผู้หญิงนั้นมาจากดาวคนละดวงและเข้าใจกันได้ยาก และหลายคนก็คงจะเห็นด้วยอย่างนั้นเหมือนกันใช่ไหม? แต่จริง ๆ แล้ว หากเราทำความเข้าใจความแตกต่างพื้นฐานระหว่างผู้ชายและผู้หญิง บางครั้งเราก็คงจะอยู่ร่วมกันได้ง่ายมากขึ้นเยอะ วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างชายหญิงมาฝากกัน ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่าว่าผู้ชายกับผู้หญิงนั้นแตกต่างกันในเรื่องไหนบ้าง
10 ความแตกต่างระหว่างชายหญิง ที่ควรทำความเข้าใจ
 1. ผู้หญิงสามารถทำกิจกรรมหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน สมองของผู้หญิงถูกสร้างมาให้สามารถทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้น พวกเธอจึงสามารถคุยโทรศัพท์ไป ทำอาหารไป และดูทีวีไปพร้อม ๆ กันได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะทำกิจกรรมเหล่านั้นได้ดี เพราะประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมจะลดลงทันที เมื่อสมองต้องจดจ่อกับการทำกิจกรรมหลายอย่างพร้อม ๆ กันนั่นเอง ส่วนสมองของผู้ชายนั้น ถูกสร้างมาให้สามารถจดจ่ออยู่กับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเท่านั้น จึงไม่แปลกที่ผู้ชายทั้งหลายจะไม่สามารถคุยโทรศัพท์ไป ดูทีวีไปด้วยได้อย่างผู้หญิง พวกเขาจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างปิดทีวี กับไม่ยอมรับโทรศัพท์

 2. ผู้หญิงเรียนรู้ภาษาได้ดีกว่าผู้ชาย จากการทดลองด้านภาษากับเด็กวัย 3 ขวบ พบว่าเด็กผู้หญิงจะสามารถจดจำคำศัพท์ได้ง่ายกว่าเด็กผู้ชายถึง 3 เท่า

 3. ผู้ชายมีทักษะในการคิดวิเคราะห์ดีกว่าผู้หญิง สมองผู้ชายมีพื้นที่ในการคิดวิเคราะห์มากกว่าผู้หญิง พวกเขาจึงสามารถหาทางแก้ปัญหา และร่างแผนที่ หรือระบบต่าง ๆ ออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าหากเอาแผนที่ที่ว่านี้ไปให้ผู้หญิงดูละก็ เธอจะไม่สามารถเข้าใจได้ สำหรับผู้หญิงทั้งหลาย แผนที่หรืออะไรที่สลับซับซ้อนเลยกลายเป็นกระดาษที่เตรียมทิ้งลงถังสำหรับเธอ

  4. ผู้ชายมีทักษะในการขับรถดีกว่าผู้หญิง เหตุผลเดียวกับข้อ 3 คือสมองผู้ชายมีพื้นที่ในการคิดวิเคราะห์มากกว่า พวกเขาถึงสามารถขับรถเร็ว และเมื่อเห็นรถวิ่งห่างจากรถของพวกเขาในระยะไกล เขาจะรู้ได้เลยว่ามันมีทิศทางและความเร็วเท่าไร ต่างจากผู้หญิงที่แม้ว่าจะสามารถวิเคราะห์ได้ แต่ก็ใช้เวลานานกว่าผู้ชาย และสังเกตสิว่า ด้วยความที่ผู้ชายไม่สามารถทำกิจกรรมใดพร้อมกันได้ ผู้ชายส่วนใหญ่ถึงไม่ชอบเปิดเพลงขณะขับรถ เพราะสมองของพวกเขากำลังจดจ่ออยู่กับการขับรถนั่นเอง

5. ผู้ชายโกหกไม่เนียนเท่าผู้หญิง เมื่อผู้ชายต้องโกหกผู้หญิงในขณะที่กำลังเผชิญหน้า พวกเขามักจะถูกจับได้อย่างง่ายดาย เพราะสมองของผู้หญิงจะวิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้า 70 เปอร์เซ็นต์, ภาษาท่าทาง 20 เปอร์เซ็นต์, ส่วนถ้อยคำที่พูดออกมานั้น ถูกให้ความสำคัญแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้นผู้ชายจึงไม่ควรโกหกผู้หญิงนะจ๊ะ เพราะพวกเธอมีความสามารถทางการจับผิด และสามารถโกหกได้เนียนกว่าคุณเยอะด้วย
 6. ผู้ชายมีทักษะในการแก้ปัญหาดีกว่าผู้หญิง คุณสมบัติข้อนี้ มาจากความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของพวกเขานั่นเอง ทำให้เมื่อพวกเขาเจอกับปัญหา จะสามารถวิเคราะห์แยกแยะปัญหาได้ และมักจะปลีกตัวออกไปคิดอยู่คนเดียวเพื่อหาทางออก ต่างจากผู้หญิงที่เวลามีปัญหาเมื่อไร เธอจะไม่สามารถหาทางออกได้ และบางครั้งก็ไม่สนว่าจะมีทางออกหรือไม่ แค่มีใครสักคนรับฟังปัญหาของพวกเธอก็พอ

 7. สิ่งที่ต้องการในชีวิตต่างกัน ผู้ชายจะต้องการความสำเร็จ ทางแก้ปัญหา ฐานะทางสังคม ฯลฯ ส่วนสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ คือ คนรัก เพื่อน ครอบครัว

 8. การให้ความสำคัญระหว่างงานและความรักต่างกัน ผู้ชายจะให้ความสำคัญกับงานมากกว่าสิ่งอื่นใด ส่วนผู้หญิงจะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากที่สุด ดังนั้น ถ้าหากผู้ชายไม่มีความสุขหรือมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องงานของพวกเขา ก็จะไม่ให้ความสำคัญเรื่องความรักเท่าไร ต่างหากผู้หญิง ถ้าหากพวกเธอมีปัญหาเรื่องความรัก พวกเธอจะไม่สามารถตั้งสติจดจ่อกับงานได้เลย

 9. การใช้ภาษาสื่อความต้องการต่างกัน ผู้หญิงจะใช้คำพูดแบบอ้อม ๆ เพื่อบอกความต้องการบางอย่าง ส่วนผู้ชายจะพูดออกมาตรง ๆ ไม่ต้องใช้ความคิดในการตีความเยอะ

10. ผู้หญิงพูดออกมาโดยไม่คิด ส่วนผู้ชายจะแสดงออกมาโดยไม่คิด

           และนี่ก็คือความแตกต่างหลัก ๆ ที่เราหยิบยกเรื่องราวมาฝากกันในวันนี้ (แหม่.. จริงเลยทีเดียวสิเนี่ย) แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเพศไหนก็สามารถพัฒนาทักษะที่ด้อยกว่าเพศตรงข้าม ให้เท่าเทียมกันได้เหมือนกันนะ ไม่อย่างนั้นจะมีผู้ชายที่เก่งเรื่องที่ผู้หญิงเก่ง หรือจะมีผู้หญิงเก่งในเรื่องที่ผู้ชายเก่งได้ยังไงกัน จริงไหม?


วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

จิตวิทยาความรักระหว่างหญิงและชาย


       ผู้หญิงกับผู้ชายนอกจากจะแตกต่างกันในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นอย่างเด่นชัดแล้วการแสดงออกและความนึกคิดก็ยังคงมีความต่างกันอยู่ มีงานวิจัยน่าสนใจมากมายเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างหญิงกับชาย ในรายงานเรื่อง "มหัศจรรย์แห่งสมอง" นิตยสาร "ซีเคร็ต" ฉบับล่าสุด อิสระพร บวรเกิด ตั้งประเด็นหนึ่งน่าสนใจว่า สงครามย่อยๆ ระหว่างเพศนั้นมีชนวนเหตุมาจากสมองทั้งสองซีกของคุณเองพร้อมอ้างถึงงานวิจัยของ ศ.เอเดรียน เฟิร์นแฮม ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจาก "ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ ลอนดอน" อธิบายเรื่องนี้ว่า สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงและผู้ชายต่างกันมากที่สุดคือ วิธีคิด ผู้ชายส่วนใหญ่ปราดเปรื่องเรื่องมิติสัมพันธ์ หนุ่มๆ จึงเชี่ยวชาญการดูแผนที่ และสามารถฝ่าฝูงชนจากอัฒจันทร์ไปซื้อเครื่องดื่มแล้วกลับมานั่งที่เดิมได้อย่างสบายๆ ขณะที่ฝ่ายหญิงหากเป็นคนลงไปซื้อ รับรองโทร.ตามหากันจ้าละหวั่น เพราะแม่คุณหลง กลับที่นั่งไม่ถูก ผู้หญิงส่วนมากลึกซึ้งเรื่องอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งเป็นความถนัดหลักของสมองซีกขวา ทำให้พวกเธอสะเทือนใจง่าย ขณะที่ผู้ชายเวลาถูกแทงข้างหลังหรือหักหลัง ก็ยังทนกัดฟัน "ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้" ได้อย่างหน้าตาเฉย


           นอกจากนี้ นักจิตวิทยาคลินิก ไมเคิล จี.คอนเนอร์ ยังพบข้อสรุปว่า ผู้หญิงมีปริมาณเส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวามากกว่าผู้ชายถึง 4 เท่านั่นหมายความว่า สมองทั้งสองซีกของผู้หญิงนั้นทำงานสัมพันธ์กันได้ดีกว่าผู้ชายข้อสรุปของคอนเนอร์คงทำให้หลายคนหายสงสัยว่า เหตุใดผู้ชายจึงไม่ชอบให้ใครชวนคุยระหว่างขับรถหรือดูฟุตบอลเกมโปรด แต่ผู้หญิงกลับสามารถคุยโทรศัพท์ และปัดมาสคาราไปด้วยอย่างสบายๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บ่อยครั้งผู้ชายมักจะพูดโพล่งออกไปตรงๆ โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ คือคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นส่วนผู้หญิงปากกับใจมักไม่ค่อยตรงกัน พูดอย่างหนึ่ง แต่ต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจอีกอย่าง เช่น การบอกแฟนหนุ่มว่า "ทำอะไรไม่ถูก" นั้นแท้จริงแล้วเธอกำลังพยายามจะบอกว่า "คุณช่วยมาหาฉันเดี๋ยวนี้ได้ไหม" ต่างหาก จะเห็นว่าภาษาที่ทั้งสองฝ่ายใช้นั้น แม้จะเป็นภาษาเดียวกัน แต่กลับมีความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง คำกล่าวของ ดร.จอห์น เกรย์ นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญเรื่องความแตกต่างระหว่างเพศ ที่ว่า "ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์" จึงกลายเป็นประโยคเด็ดเป็นยอมรับกันทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้

ที่มา :  blog.goethe.de/sciencefilmfestival/index.php?/archives/105-unknown.html

ความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย

ทำไมผู้หญิงและผู้ชายจึงไม่เท่าเทียมกัน

ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชายเกิดจากการเปลี่ยนผ่านช่วงบริบททางประวัติศาสตร์ โดย บัคโชเฟน นักมานุษยวิทยาสายพัฒนาการ ได้ศึกษาถึงการสะสมทุนในยุคของการหาของป่า ล่าสัตว์ และยุคการเพาะปลูก การศึกษาดังกล่าวมีข้อสรุปว่า ผู้ชายสามารถหาทรัพย์สินส่วนเกินได้มากกว่าผู้หญิง หรือที่เรียกว่าการสะสมทุน จนทำให้ผู้ชายมีอำนาจสร้างพื้นที่สาธารณะได้มากกว่าทำให้ผู้หญิงต้องจัดการแต่เรื่องภายในที่ไม่ใช่พื้นที่สาธารณะ ผู้ชายมีสิทธิในเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ สามารถแสดงความคิดเห็นทางการเมือง สามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้ แต่ผู้หญิงนั้นจะถูกจำกัดในเรื่องของการจัดการภายในบ้าน ไม่มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไม่มีโอกาสได้ออกไปทำงานนอกบ้าน เนื่องจากได้ร่ำเรียนมาน้อย ไม่มีความรู้ที่จะสามารถนำมาใช้เพื่อประกอบการทำงาน จากโครงสร้างดังกล่าวสามารถมองเห็นภาพความไม่เท่าเทียมกันระหว่างพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะ นี่คือความไม่ชอบธรรมที่อ้างมกจากการสร้างวิธีคิดผ่านทางประวัติศาสตร์ ที่ทำให้ผู้ชายใช้อำนาจกดทับเพศหญิงหลายยุคหลายสมัย

ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชายในอดีต
ในอดีตผู้ชายจะเป็นช้างเท้าหน้าทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกรบยามศึกสงคราม การออกไปทำงานนอกบ้าน การมีส่วนร่วมทางการเมืองสามารถแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้อย่างเต็มที่และอิสระ มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงๆ ส่วนผู้หญิงสมัยก่อน ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือและจะไม่มีโอกาสได้ออกไปทำงานนอกบ้านเหมือนผู้ชาย ต้องอยู่แต่บ้านคอยจัดการเรื่องที่เกี่ยวกับภายในบ้าน เป็นแม่หญิงแม่เรือน ไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการการเมืองเพราะเชื่อว่าเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองต้องเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ และการที่ผู้ชายได้เรียนสูงกว่าผู้หญิง เพราะว่าผู้ชายมีความแข็งแรง แรงแกร่ง สามารถออกไปเผชิญกับโลกภายนอกได้ ส่วนผู้หญิงนั้นมีความอ่อนแอถ้าออกไปเผชิญกับโลกภายนอกอาจเกิดอันตรายได้ ความคิดสมัยก่อนทำให้เกิดการปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เรียนสูงๆ มีการงานที่ดีทำ สามารถหาเลี้ยงตนเองได้ โดยไม่ต้องรอให้ผู้ชายหามาเลี้ยงที่กล่าวข้างต้น จะเห็นว่าผู้หญิงและผู้ชายมีความไม่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเรียน การทำงาน การได้แสดงความเห็นคิดทางการเมือง
จากทัศนคติเดิมๆที่ปลูกฝังกันมาว่าที่เชื่อว่า ผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชายในทุกๆด้าน ไม่ได้รับการเปิดโอกาสในด้านการเรียน การทำงาน การได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ที่ผู้หญิงควรจะได้รับสิทธินั้น ปัจจุบันสังคมเราได้ปรับเปลี่ยนทัศนคติเหล่านี้ ให้ได้ทันยุคทันสมัย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย สังคมเราปัจจุบันได้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงและผู้ชายมีความเท่าเทียมกันในทุกๆเรื่อง ๆไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การทำงาน การได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมือง การได้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น และการเรียน การเรียนถือว่ามีความสำคัญมากในโลกปัจจุบัน เพราะการที่เราได้เรียนหนังสือสูงๆ จะทำให้เรามีความรู้และเมื่อเรามีความรู้เราก็สามารถนำไปความรู้ที่ได้เรียนมา นำไปใช้ในการทำงาน การที่เราเรียนหนังสือสูงๆจะทำให้เราได้ทำงานที่ดี มีหน้าที่การงานที่มั่นคง สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ การที่เราได้เรียนหนังสือสูงๆจะช่วยให้เราได้มีความคิดที่สร้างสรรค์สามารถนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าเทียบเท่ากับประเทศอื่นที่เขาพัฒนาไปไกลกว่าประเทศของเรา ปัจจุบันผู้หญิงและผู้ชายต่างก็แข่งกันเรียน บางทีผู้หญิงเรียนสูงๆเยอะกว่าผู้ชาย จะเห็นได้ว่าผู้หญิงมีโอกาสได้ทำงานนอกบ้าน ได้มีส่วนร่วมทางการเมืองดังที่เห็นผู้สมัคร ส.ส บางท่านเป็นผู้หญิง แต่ก่อนจะมีเฉพาะผู้ชาย การที่ผู้หญิงได้มีโอกาสได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องของการเมืองก็สืบเนื่องมาจากการได้รับโอกาส ให้ผู้หญิงและผู้ชายสามารถมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน

สังคมเราเป็นสังคมที่ยึดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

คือการเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคล การให้ความเสมอภาคเท่าเทียมกันของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน จะเลือกปฏิบัติไม่ได้ และการให้สิทธิ โอกาส และการปฏิบัติต่างๆจะให้กับผู้หญิงหรือผู้ชาย ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างไม่เท่าเทียมกันนั้นจะกระทำไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะกฎหมายได้บัญญัติไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายจะต้องได้รับสิทธิ โอกาส การปฏิบัติ และการบริการต่างๆอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน เพื่อให้เกิดความสมดุลในสังคม เช่น ผู้ชายลงสมัครเล่นการเมืองได้ ผู้หญิงก็สามารถลงสมัครเล่นการเมืองได้เหมือนกัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน แต่ก่อนตำรวจเป็นได้เฉพาะผู้ชาย ปัจจุบันผู้หญิงก็เป็นตำรวจได้ เพราะความเปลี่ยนแปลงในสังคม ทำให้เราต้องพัฒนาผู้หญิงให้เทียบเท่ากับผู้ชาย ให้ทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในสังคม การที่เราให้สิทธิและโอกาสกับผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น เพราะผู้หญิงปัจจุบันเก่ง มีความรู้ ความสามารถ สามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งดีๆที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและส่วนรวม บางทีความรู้ ความสามารถที่มีอยู่ในตัวผู้หญิงนั้นสามารถแสดงออกมาได้ดีกว่าผู้ชาย ซึ่งสิทธิต่างๆที่ผู้หญิงได้แสดงออกมาก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะสามารถทำอะไรก็ได้ที่เห็นว่าเกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร
กฎหมายรัฐธรรมนูญนอกจากจะบัญญัติในเรื่องของการให้สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชายแล้ว กฎหมายยังให้สิทธิความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชายเพิ่มมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนนามสกุล เมื่อผู้หญิงและผู้ชายแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน แต่เดิมผู้หญิงที่แต่งงานและได้จดทะเบียนสมรสแล้ว ผู้หญิงจะต้องใช้นามสกุลผู้ชาย แต่ปัจจุบันผู้หญิงที่แต่งงานและจดทะเบียนสมรสแล้ว ผู้หญิงสามารถเลือกใช้นามสกุลเดิมของตนเองได้ และสิทธิอีกอย่างหนึ่งที่ผู้หญิงได้รับ คือ แต่ก่อนผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว คำนำหน้าจะเป็นนาง แต่ปัจจุบันผู้หญิงสามารถเลือกใช้คำนำหน้าจากนาง เป็น นางสาว ได้ ซึ่งการเพิ่มสิทธิเหล่านี้ ทำให้เห็นถึงความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย

ความเหมือนที่ทำให้ผู้หญิงและผู้ชายมีความเท่าเทียมกัน
1. ผู้ชายทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้ ผู้หญิงก็ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้ บางทีทำได้ดีกว่าผู้ชาย
2. ผู้ชายเป็นนำได้ ผู้หญิงก็เป็นผู้นำได้
3. ผู้ชายมีส่วนร่วมทางการเมืองได้ ผู้หญิงก็มีส่วนร่วมทางการเมืองได้ สักวันจะมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิง
ความแตกต่างที่ทำให้ผู้หญิงและผู้ชายมีความไม่เท่าเทียมกัน
1. ผู้ชายอุ้มท้องไม่ได้ แต่ผู้หญิงอุ้มท้องได้ และสามารถดูแลลูกในท้องได้ดีกว่าเพราะมีความระมัดระวังมากกว่า แต่ถ้าผู้ชายอุ้มท้องได้คงไม่ค่อยระมัดระวังเท่ากับผู้หญิงเพราะมีความแข็งกระด้างมากกว่า
2. ผู้ชายทำได้แค่เลี้ยงลูกด้วยนมผง แต่ผู้หญิงสามารถเลี้ยงลูกได้ด้วยทั้งนมผงและนมตัวเอง

ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีบางเรื่องที่ทำให้เกิดความเหมือนและความต่างในเรื่องของความเท่าเทียมกัน ในความเหมือนที่ผู้หญิงและผู้ชายสามารถทำได้อย่างเท่าเทียมกัน เราต้องไม่ปิดโอกาสเราควรจะส่งเสริมให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เพราะสังคมเราได้พัฒนา เพื่อให้เกิดความทันสมัย ทันต่อโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราต้องปรับตัวพัฒนาตนเองให้ทันกับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพื่อให้เกิดความเจริญต่อตัวบุคคลและต่อประเทศชาติ ทำให้มนุษย์ในสังคมเราอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขและสันติ ดังคำกล่าวที่ว่า
ความเสมอภาคของชายและหญิง คือรากฐานพันธสัญญาทางสังคม Gender Equality is a Basis of the Social Contract

วัตถุประสงค์ ของ Blog

1. เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย
2. เพื่อให้ผู้หญิงไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ชาย
3. เพื่อให้ผู้หญิงมีบทบาทในเรื่องต่างๆ เช่น การแสดงความคิดเห็น
การทำงาน ที่เท่าเทียมกับผู้ชาย

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

1. ผู้หญิงจะมีสิทธิที่เท่าเทียมกันกับผู้ชาย
2. ผู้หญิงจะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ชาย

3. ผู้หญิงจะมีบทบาทในเรื่องต่างๆเช่น การแสดงความคิดเห็น การทำงาน ที่เท่าเทียมกับ ผู้ชายเพิ่มมากขึ้น

ที่มา : http://matee2549.blogspot.com/

ข้อแตกต่างของชายและหญิง

"บางครั้งผู้หญิงก็ดูน่าเบื่อและไร้เหตุผลจนไม่น่าเข้าใกล้" ในขณะที่ผู้หญิงโต้กลับว่า "บางครั้งผู้ชายก็งี่เง่าและเฮงซวยที่สุด" ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครดีใครเลว แต่อยู่ที่ความแตกต่างกันในทุก ๆ เรื่องของชายและหญิงต่างหากที่เป็นต้นเหตุของความไม่เข้าใจ ในเมื่อทั้งชายและหญิงไม่มีวันที่จะเหมือนกันได้ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดเพื่อการอยู่ร่วมกันได้ย่างมีความสุข นั่นก็คือ "การทำความเข้าใจจิตใจของแต่ละฝ่ายนั่นเอง"

.......................................

. 1. ผู้ชายรู้สึกดีเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นที่ต้องการของคนอื่น ขณะที่ผู้หญิงรู้สึกดีเมื่อรู้ว่าตัวเองน่าทะนุถนอม

2. เมื่อเกิดปัญหา ผู้ชายจะเก็บตัวเพื่อคิดหาทางออก ผู้หญิงจะหาใครซักคนที่ไว้ใจ และพร่ำพรรณนาปัญหาให้ฟัง

3. จากสถิติพบว่า ผู้ชายมีอายุสั้นกว่าผู้หญิง เพราะผู้ชายใจร้อนและคึกคะนองมากกว่า

4. ผู้ชายมุ่งความต้องการไปที่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ความสำเร็จของผู้หญิงคือ การมีครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุข

5. เมือทำอะไรซักอย่างไม่ได้ ผู้หญิงจะขอความช่วยเหลือ ในขณะที่ผู้ชายจะไม่พยามยามขอความช่วยเหลือ เพราะคิดว่านั่นคือการแสดงความอ่อนแอของตัวเอง

........................................

6. ผู้หญิงมีสมองเล็กกว่าผู้ชาย แต่สมองทั้งสองซีกกลับทำงานสัมพันธ์กันมากกว่าผู้ชาย

7. ผู้ชายจะเจริญเติบโตและก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นได้ช้ากว่าผู้หญิง

8. ผู้ชายถูกกระต้นความต้องการทางเพศโดยสายตา เช่น ดูภาพโป้ ดูหนังโป้ แต่ผู้หญิงถูกกระตุ้นความต้องการทางเพศ โดยการสัมผัสอันนุ่มนวล

9. เมื่อเล่นเกม ๆ หนึ่ง ผู้หญิงต้องการเอาชนะโดยที่อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องแพ้ก็ได้ (การเสมอ) แต่ผู้ชายต้องการเอาชนะ และอีกฝ่ายต้องเป็นผู้แพ้

10. เมื่อผู้ชายตกหลุมรักใครซักคน เค้าจะถูกกระตุ้นให้ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าจีบผู้หญิงคนนั้นไม่สำเร็จ เค้าจะกลับไปเห็นแก่ตัวเหมือนเดิม

...........................................

11. ผู้หญิงเมาง่ายกว่าผู้ชาย

12. ผู้ชายจะจดจำเส้นทาง และอ่านแผนที่ได้เก่งกว่าผู้หญิง

13. ผู้หญิงกลัวที่จะเป็นฝ่ายรับ ในขณะที่ผู้ชายกลัวที่จะเป็นฝ่ายให้

14. ผู้หญิงพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าผู้ชาย แต่ผู้ชายทำสำเร็จมากกว่าผู้หญิง

15. ผู้หญิงจะเรียนภาษาได้ดีกว่า และมีความสามารถในการสื่อสารทางการพูดมากกว่าผู้ชาย

.............................................

16. ผู้ชายจะคิดให้ตกซะก่อนจึงค่อยพูดออกมา แต่ผู้หญิงมักจะคิดออกมาเป็นเสียงดัง ๆ ให้คนอื่นได้ยินด้วย

17. ผู้หญิงจะไม่ทิ้งเพื่อนหากเพื่อนกำลังมีปัญหา ในขณะที่ผู้ชายจะทิ้งให้เพื่อนแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

18. เมื่อผู้หญิงรู้สึกดี เธอจะสามารถแบ่งปันความรักให้คนอื่นมากมาย แต่เมื่อเธอรู้สึกแย่ สิ่งที่เธอต้องการที่สุดคือความรักจากคนรอบข้าง

19. นิสัยผู้ชายเหมือนหนังสติ๊ก: ในช่วงเวลาที่คบกัน ผู้ชายจะต้องการทั้งความผูกพันใกล้ชิด และความอิสระ แต่ผู้หญิงจะรู้สึกไม่ดีหากผู้ชายกำลังถอยออกไปหาอิสระ และพยายามดึงเค้ากลับมา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เค้าถอยห่างมากขึ้น ทางที่ดีควรอยู่นิ่ง ๆ เมื่อถึงเวลาหนึ่งเค้าจะกลับมาเอง

20. ทั้งที่ผู้ชายและผู้หญิงพูดคำ ๆ เดียวกัน แต่ความหมายของคำ ๆ นั้น กลับไม่เหมือนกัน เช่น เมื่อผู้หญิงพูดว่า "เราเลิกกันเถอะ" แปลว่าฉันต้องการให้คุณเห็นความสำคัญของฉันมากกว่านี้ เมื่อผู้ชายพูดว่า "เราเลิกกันเถอะ" แปลว่าผมไม่ขอทนคุณอีกต่อไป เพราะผมเจอคนใหม่แล้ว

..........................................

21. ผู้ชายรับรู้รสชาติเผ็ดและหวานได้น้อยกว่าผู้หญิง

22. ผู้ชายใช้เวลาในการไปถึงจุดสุดยอดน้อยกว่าผู้หญิง

23. ผู้หญิงมีกลิ่นที่รักแร้แรงกว่าผู้ชาย ดังนั้นโรลออนสำหรับผู้หญิงจึงขายดีกว่าผู้ชาย

24. ผู้หญิงท้องผูกมากกว่าผู้ชาย เพราะระบบทางเดินอาหารของผู้หญิงทำงานได้ช้ากว่า

25. หากผู้หญิงต้องการอะไรจากผู้ชาย ผู้หญิงจำเป็นต้องบอกเพราะผู้ชายมักจะทึกทักเอาว่า "เค้าทำดีแล้ว"

............................................

26. ผู้หญิงคิดว่าการแสดงความเป็นห่วง หมายถึง การแสดงความรักแต่ฝ่ายชายกลับรำคาญ และคิดว่า นั่นคือการควบคุม

27. ผู้หญิงติดโรคทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายกว่าผู้ชาย เพราะปากช่องคลอดมีพื้นที่กว้างกว่า ทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปได้มากกว่า

28. ผู้ชายในโลกมี 2 แบบ คือ 1. พวกที่ดื้อรั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองตามใจผู้หญิง กับ 2. พวกเชื่อฟังและยอมเปลี่ยนแปลง แต่ซักพักก็จะกลับไปเหมือนเดิม ฉะนั้นผู้หญิงอย่าพยายามเปลี่ยนแปลงผู้ชายเลย


29. ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ชอบพูดคำว่า "ผมขอโทษ" เพราะมันจะตอกย้ำว่า เค้าได้ทำสิ่งผิดพลาดลงไป และเค้าคือคนผิดจากการกระทำนั้น ถึงแม้ว่าภายในใจเค้าจะรู้สึกตัวว่าผิดก็ตาม

ที่มา : http://guidance.kku.ac.th/tips/bandg.html

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ความหมายของการสื่อสารข้อมูล


          การสื่อสารข้อมูล หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางกับปลายทาง โดยใช้อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีตัวกลาง เช่น ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์สำหรับควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง นอกจากนี้อาจจะมีผู้รับผิดชอบในการกำหนดกฎเกณฑ์ในการส่งหรือรับข้อมูลตามรูปแบบที่ต้องการ

องค์ประกอบพื้นฐานของระบบสื่อสารข้อมูล

การสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อมีองค์ประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender)

ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ต้นทางจะต้องจัดเตรียมนำเข้าสู่อุปกรณ์สำหรับส่งข้อมูล ซึ่งได้แก่เครื่องพิมพ์ หรืออุปกรณ์ควบคุมต่าง ๆ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นถูกเปลี่ยนให้อยู่ใน รูปแบบที่สามารถส่งข้อมูลนั้นได้ก่อน

2. ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver)

ข้อมูลที่ถูกส่งจากอุปกรณ์ส่งข้อมูลต้นทาง เมื่อไปถึงปลายทางก็จะมีอุปกรณ์สำหรับ รับข้อมูลเหล่านั้นเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ เครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ฯลฯ

3. โปรโตคอล  (Protocol)

โปรโตคอล คือ กฎระเบียบ หรือวิธีการใช้เป็นข้อกำหนดสำหรับการสื่อสาร เพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งเข้าใจกันได้ ซึ่งมีหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น TCP/IP, X.25, SDLC  เป็นต้น

4. ซอฟต์แวร์ (Software)

การส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีโปรแกรมสำหรับดำเนินการ และควบคุมการส่งข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่กำหนดไว้ ได้แก่ Novell’s Netware, UNIX, Windows NT, Windows 2003 ฯลฯ

5. ข่าวสาร (Message)

เป็นรายละเอียดซึ่งอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะส่งผ่านระบบการสื่อสาร ซึ่งมีหลายรูปแบบดังนี้

5.1  ข้อมูล (Data)  เป็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งถูกสร้างและจัดเก็บด้วยคอมพิวเตอร์ มีรูปแบบแน่นอน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า เป็นต้น ข้อมูลสามารถนับจำนวนได้และส่งผ่านระบบสื่อสารได้เร็ว

5.2  ข้อความ (Text)  อยู่ในรูปของเอกสารหรือตัวอักขระ ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ชัดเจนนับจำนวนได้ค่อนข้างยาก และมีความสามารถในการส่งปานกลาง

5.3 รูปภาพ (Image)  เป็นข่าวสารที่อยู่ในรูปของภาพกราฟิกแบบต่าง ๆ ได้แก่ รูปภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพวีดีโอ ซึ่งข้อมูลชนิดนี้จะต้องอาศัยสื่อสำหรับเก็บ และใช้หน่วยความจำเป็นจำนวนมาก

5.4  เสียง (Voice)  อยู่ในรูปของเสียงพูด เสียงดนตรี หรือเสียงอื่น ๆ ข้อมูลชนิดนี้จะกระจัดกระจาย ไม่สามารถวัดขนาดที่แน่นอนได้ การส่งจะทำได้ด้วยความเร็ว ค่อนข้างต่ำ

6. ตัวกลาง (Medium)

เป็นตัวกลางหรือสื่อกลางที่ทำหน้าที่นำข่าวสารในรูปแบบต่าง ๆ จากผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งต้นทางไปยังผู้รับ หรืออุปกรณ์รับปลายทาง ซึ่งมีหลายรูปแบบได้แก่ สายไป ขดลวด สายเคเบิล สายไฟเบอร์ออฟติก ตัวกลางอาจจะอยู่ในรูปของคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น คลื่นไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม หรือคลื่นวิทยุ เป็นต้น

การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สำหรับสื่อสารข้อมูล

เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต้นทางเข้ากับคอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยใช้ตัวกลางหรือสื่อกลางสำหรับเชื่อมต่อ ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ การต่อแบบสายตรงตามรูปนั้น อาจจะต่อตรงโดยใช้ช่องต่อแบบขนานของเครื่อง ทั้ง 2 เครื่อง เพื่อใช้สำหรับโอนย้ายข้อมูลระหว่างเครื่องได้ หรืออาจจะต่อโดยใช้อินเทอร์เฟสการ์ดใส่ไว้ใน เครื่องสำหรับเป็นจุดต่อก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งานเป็นการเชื่อมต่อ ระยะไกลจากคอมพิวเตอร์ต้นทางไปยังปลายทาง โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ

การส่งสัญญาณข้อมูล (Transmission Definition)

การส่งสัญญาณข้อมูล หมายถึง การส่งข้อมูลหรือข่าวสารต่างๆจากอุปกรณ์สำหรับส่งหรือผู้ส่ง ผ่านทางตัวกลางหรือสื่อกลาง ไปยังอุปกรณ์รับหรือผู้รับข้อมูลหรือข่าว ซึ่งข้อมูลหรือข่าวสารที่ส่งไปอาจจะอยู่ในรูปของสัญญาณเสียง  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงก็ได้ โดยที่สื่อกลางหรือตัวกลางของสัญญาณนั้นแบ่งเป็น 2 ชนิด คือชนิดที่สามารถกำหนดเส้นทางสัญญาณได้ เช่น สายเกลียวคู่ (Twisted paire) สายโทรศัพท์ สายโอแอกเชียล (Coaxial) สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) ส่วนตัวกลางอีกชนิดหนึ่งนั้นไม่สามารถกำหนดเส้นทางของสัญญาณได้ เช่น สุญญากาศ น้ำ และ ชั้นบรรยากาศ เป็นต้น

แบบของการส่งสัญญาณข้อมูล

การส่งสัญญาณข้อมูล สามารถแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบดังนี้

1. การส่งสัญญาณทางเดียว (One-Way Transmission หรือ Simplex)

การส่งสัญญาณแบบนี้ในเวลาเดียวกันจะส่งได้เพียงทางเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าตัวส่งจะมีสัญญาณช่องทางก็ตาม ซึ่งมักจะเรียกการส่งสัญญาณทางเดียวนี้ว่า ซิมเพล็กซ์ ผู้ส่งสัญญาณจะส่งได้ทางเดียว โดยที่ผู้รับจะไม่สามารถโต้ตอบได้ เช่น การส่งวิทยุกระจายเสียง การแพร่ภาพโทรทัศน์

2. การส่งสัญญาณกึ่งทางคู่ (Half-Duplex หรือ Either-Way)

การส่งสัญญาณแบบนี้เมื่อผู้ส่งได้ทำการส่งสัญญาณไปแล้ว ผู้รับก็จะรับสัญญาณนั้นหลังจากนั้นผู้รับก็สามารถปรับมาเป็นผู้ส่งสัญญาณแทน ส่วนผู้ส่งเดิมก็ปรับมาเป็นผู้รับแทนสลับกันได้ แต่ไม่สามารถส่งสัญญาณพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้ จึงเรียกการส่งสัญญาณแบบนี้ว่า ฮาร์ฟดูเพล็กซ์ (Half Duplex หรือ HD) ได้แก่ วิทยุสนามที่ตำรวจใช้ เป็นต้น

3. การส่งสัญญาณทางคู่ (Full-Duplex หรือ Both way Transmission)

การส่งสัญญาณแบบนี้สามารถส่งข้อมูลได้พร้อมกันทั้งสองทางในเวลาเดียวกัน เช่น การใช้โทรศัพท์ ผู้ใช้สามารถพูดสายโทรศัพท์ได้พร้อม ๆ กัน

มาตรฐานสากล  (International Standards)

เพื่อความเป็นระเบียบและความสะดวกของผู้ผลิตในการผลิตอุปกรณ์สื่อสารแบบต่าง ๆ ขึ้นมา จึงได้มีการกำหนดมาตรฐานสากล สำหรับระบบติดต่อสื่อสารข้อมูลขึ้น ซึ่งประกอบด้วยโปรโตคอล และสถาปัตยกรรมโดยมีการจัดตั้งองค์การสำหรับพัฒนา และควบคุมมาตรฐานหมายองค์กรดังต่อไปนี้

1. ISO (The International Standards Organization)

เป็นองค์การสากลที่พัฒนามาตรฐานสากลเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเครือข่าย โดยมีการแบ่งโครงสร้างในการติดต่อสื่อสารออกเป็น 7 ชั้น (Layers)

2. CCITT (The Conseclitive Committee in International)

เป็นองค์กรสากลที่พัฒนามาตรฐาน v และ x โดยที่มาตรฐาน v ใช้สำหรับวงจรโทรศัพท์และโมเด็ม เช่น  v29,v34 ส่วนมาจรฐาน x ใช้กับเครือข่ายข้อมูลสาธารณะเช่น เครือข่าย x.25 แพ็กเกจสวิตช์ (Package switch) เป็นต้น

3. ANSI (The American National Standards Institute)

เป็นองค์กรมาตรฐานของสหรัฐเมริกา ANSI ได้พัฒนามาตรฐานเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลและ ระบบเครือข่ายมาตรฐานส่วนใหญ่จะ เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ตัวเลข ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลและมาตรฐานเทอร์มินัล

4. IEE (The Institute of Electronic Engineers)

เป็นมาตรฐานที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มนักวิชาการ และผู้ปกครองอาชีพทางสาขาไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริกา มาตรฐานจะเน้นไปทางด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ไมโครโปรเซสเซอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น IEE 802.3 ซึ่งใช้ระบบ LAN (Local Area Network)

5. EIA (The Electronics Industries Association)

เป็นองค์กรมาตรฐานของอเมริกาได้กำหนดมาตรฐานทางด้านไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์มาตรฐาน EIA จะขึ้นต้นด้วย RS (Recommended Standard) เช่น Rs-232-c เป็นต้น

การผลิตของผู้ประกอบการต่าง ๆ ไม่ว่าจะใช้มาตรฐานใดก็ตาม สิ่งที่ผลิตนั้นอย่างน้อยจะต้องได้ครบตามมาตรฐาน แต่อาจจะดีเหนือกว่ามาตรฐานก็ได้

ลักษณะของสัญญาณที่ใช้ในการส่งสัญญาณข้อมูล

การส่งสัญญาณข้อมูล หรือข่าวสารต่าง ๆ สามารถทำได้ 2 ลักษณะดังนี้

1. การส่งสัญญาณแบบอนาลอก(Analog Transmission)

การส่งสัญญาณแบบอนาลอกจะไม่คำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่รวมอยู่ในสัญญาณเลย โดยสัญญาณจะแทนข้อมูล อนาลอก เช่น สัญญาณเสียง เป็นต้น ซึ่งสัญญาณอนาลอกที่ส่งออกไปนั้นเมื่อระยะห่างออกไปสัญญาณก็จะอ่อนลงเรื่อย ๆ ทำให้สัญญาณไม่ค่อยดี ดังนั้นเมื่อระยะห่างไกลออกไปสามารถแก้ไขได้โดยใช้เครื่องขยายสัญญาณ (Amplifier) แต่ก็มีผลทำให้เกิดสัญญาณรบกวน (Noise) ขึ้น ยิ่งระยะไกลมากขึ้นสัญญาณรบกวนก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถแก้ไขสัญญาณรบกวนนี้ได้โดยใช้เครื่องกรองสัญญาณ (Filter) เพื่อกรองเอาสัญญาณรบกวนออกไป

2. การส่งสัญญาณแบบดิจิตอล(Digital Transmission)

การส่งสัญญาณแบบดิจิตอลจะใช้เมื่อต้องการข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนแน่นอน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสนใจรายละเอียดทุกอย่างที่บรรจุมากับสัญญาณ ในทำนองเดียวกันกับการส่งสัญญาณแบบอนาลอก กล่าวคือ เมื่อระยะทางในการส่งมากขึ้น สัญญาณดิจิตอลก็จะจางลง ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยใช้อุปกรณ์ทำสัญญาณซ้ำ หรือรีพีตเตอร์ (Repeater)

ปัจจุบันการส่งสัญญาณแบบดิจิตอลจะเข้ามามีบทบาทสูงในการสื่อสารข้อมูล เนื่องจากให้ความถูกต้องชัดเจนของข้อมูลสูง และส่งได้ในระยะไกลด้วย สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้ง่ายด้วย ทั้งนี้เนื่องจากสัญญาณจากคอมพิวเตอร์อยู่ใน รูปของดิจิตอลนั่นเองแต่เดิมนั้นถ้าหากระยะทางใน             การสื่อสารไกลมักจะใช้สัญญาณแบบอนาลอกเสียส่วนใหญ่ เช่น โทรศัพท์, โทรเลข เป็นต้น

 รหัสที่ใช้ส่งสัญญาณข้อมูล  (Transmission Code)

การส่งสัญญาณการสื่อสารถูกแบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ แบบดิจิตอลและแบบอนาลอก ซึ่งการส่งสัญญาณแบบอนาลอกส่วนใหญ่จะเป็นการติดต่อสื่อสารกันระหว่างมนุษย์ ได้แก่ การได้ยิน การมองเห็น อุปกรณ์ที่ใช้ เช่น โทรศัพท์ วิทยุ โทรทัศน์ สำหรับการส่งสัญญาณแบบดิจิตอลนั้น  ส่วนใหญ่จะสื่อสารกันโดยใช้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ในการถ่ายทอดข้อมูลซึ่งกันและกัน

ข้อมูลหรือข่าวสารโดยทั่วไปแล้วในเบื้องต้นส่วน ใหญ่จะอยู่ในรูปแบบที่มนุษย์เข้าใจได้ในทันที เช่น ตัวอักษร ตัวเลข เสียง และภาพต่าง ๆ ซึ่งข่าวสารเหล่านี้จะอยู่ในรูปแบบอนาลอก แต่เมื่อต้องการนำข้อมูลหรือข่าวสารเหล่านี้มาใช้กับคอมพิวเตอร์ จะต้องเปลี่ยนข้อมูล หรือข่าวสารเหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์เข้าใจได้เสียก่อน ซึ่งคอมพิวเตอร์จะรับรู้ข่าวสารที่เป็นแบบดิจิตอลเท่านั้น นั่นคือการเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนข่าวสารแบบอนาลอกให้เป็นข่าวสารแบบดิจิตอลนั่นเอง

จากข้อความหรือข่าวสารต่าง ๆ ที่เรามองเห็นและเข้าใจได้ เมื่อเราป้อนเข้าสู่คอมพิวเตอร์โดยพิมพ์เข้าทางแป้นพิมพ์ ตัวอักษรที่พิมพ์เข้าไปจะต้องมีการเข้ารหัสโดยผ่านตัวเข้ารหัส (Encoder) ให้อยู่ในรูปของสัญญาณที่สามารถส่งสัญญาณต่อไปได้เมื่อสัญญาณถูกส่งไปยังเครื่องรับ จากนั้นเครื่องรับก็จะตีความสัญญาณที่ส่งมาและผ่านตัวถอดรหัส (Decodes) ให้กลับมาอยู่ในรูปแบบที่เราเข้าใจได้หรืออยู่ในรูปแบบที่ใช้สำหรับเก็บในคอมพิวเตอร์ก็ได้อีกครั้งหนึ่ง

รูปแบบของรหัส

รหัสที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลโดยทั่วไปจะอยู่ในรูปของไบนารี (Binary)  หรือเลขฐานสอง ซึ่งประกอบด้วยเลข 0 กับเลข 1 โดยใช้รหัสที่เป็นเลข 0 แทนการไม่มีสัญญาณไฟและเลข 1 แทนการมีสัญญาณไฟ ซึ่งเป็นไปตามหลักการของไฟฟ้าที่มีลักษณะมีไฟและไม่มีไฟอยู่ตลอดเวลา เรียกรหัสที่ประกอบด้วย 0 กับ 1 ว่าบิต (Binary Digit) แต่เนื่องจากข้อมูลหรือข่าวสารทั่วไปประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลขและสัญลักษณ์มากมาย ถ้าจะใช้ 0 กับ 1 เป็นรหัสแทนแล้วก็คงจะได้เพียง 2 ตัวเท่านั้น เช่น 0 แทนตัว A และ 1 แทนด้วย B

ดังนั้นการกำหนดรหัสจึงได้นำกลุ่มบิทมาใช้ เช่น 6 บิท, 7 บิท หรือ 8 บิทแทนตัวอักษร 1 ตัว ซึ่งจะสามารถสร้างรหัสที่แตกต่างกันได้ทั้งหมด รหัสมาตรฐานโดยทั่วไปจะใช้กับอักขระภาษาอังกฤษซึ่งมีหลายมาตรฐาน เช่น รหัสโบดอต (Baudot code), รหัสเอบซีดิก (EBCDIC) และรหัสแอสกี (ASCll Code)

รหัสแอสกี (ASCll CODE)

รหัสแอสกี (ASCll CODE) มาจากคำเต็มว่า American Standard Code for Information Interchange ซึ่งเป็นรหัสมาตรฐานของอเมริกาที่ใช้สำหรับส่งข่าวสารมีขนาด 8 บิท โดยใช้ 7 บิทแรกเข้ารหัสแทนตัวอักษร ส่วนบิทที่ 8 จะเป็นบิทตรวจสอบ (Parity Bit Check) รหัสแอสกีได้รับมาตรฐานของ CCITT หมายเลข 5 เป็นรหัสที่ได้รับความนิยมในการสื่อสารข้อมูลอย่างกว้างขวาง เนื่องจากรหัสแอสกีใช้ 7 บิทแรกแทนตัวอักขระ แต่ละบิทจะประกอบด้วยตัวเลข 0 หรือเลข 1 ดังนั้นรหัสแอสกีจะมีรหัสที่แตกต่างกันได้เท่ากับ 27 หรือเท่ากับ 128 ตัวอักขระนั่นเองในจำนวนนี้จะแบ่งเป็นตัวอักษรที่พิมพ์ได้ 96 อักขระ และเป็นตัวควบคุม (Control Characters) อีก 32 อักขระ ซึ่งใช้สำหรับควบคุมอุปกรณ์และการ ทำงานต่าง ๆ

รหัสโบคอต (Baudot Code)

รหัสโบคอตเป็นรหัสที่ใช้กับระบบโทรเลข และเทเล็กซ์ ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรฐานของ CCITT หมายเลข 2 เป็นรหัสขนาด 5 บิท สามารถมีรหัสที่แตกต่างกันได้เท่ากับ 25 หรือเท่ากับ 32 รูปแบบ ซึ่งไม่เพียงพอกับจำนวนอักขระทั้งหมด จึงมีการเพิ่มอักขระพิเศษขึ้นอีก 2 ตัว คือ 11111 หรือ LS (Letter Shift Character) เพื่อเปลี่ยนกลุ่มตัวอักษรเป็นตัวพิมพ์เล็ก (Lower case) และ 11011 หรือ FS(Figured Shift Character) สำหรับเปลี่ยนกลุ่มตัวอักษรเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทำให้มีรหัสเพิ่มขึ้นอีก 32 ตัว แต่มีอักขระซ้ำกับอักขระเดิม 6 ตัว จึงสามารถใช้รหัสได้จริง 58 ตัว อีก 32 ตัว แต่มีอักขระซ้ำกับอักขระเดิม 6 เดิม จึงสามารถใช้รหัสได้จริง 58 ตัว เนื่องจากรหัสโบคอตมีขนาด 5 บิท ซึ่งไม่มีบิทตรวจสอบจึงไม่นิยมนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์

รหัสเอบซีดิก (EBCDIC)

รหัส EBVFIC มาจากคำเต็มว่า Extended Binary Coded Deximal Interchange Code พัฒนาขึ้นโดยบริษัท IBM มีขนาด 8 บิตต่อหนึ่งอักขระ โดยใช้บิตที่ 9 เป็น บิทตรวจสอบ ดังนั้นจึงสามารถมีรหัสที่แตกต่างสำหรับใช้แทนตัวอักษรได้ 28 หรือ 256 ตัวอักษร ปัจจุบันรหัสเอบซีดิกเป็นมาตรฐานในการเข้าตัวอักขระบนเครื่องคอมพิวเตอร์

รหัสแบบของการเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารข้อมูล

การเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารเพื่อสื่อสารข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอักจุดหนึ่งนั้น สามารถทำได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสม สำหรับรูปแบบของการเชื่อมต่อแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบดังต่อไปนี้

1. การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด  (Point to Point Line)

เป็นการเชื่อมต่อแบบพื้นฐาน โดยต่อจากอุปกรณ์รับหรือส่ง 2 ชุด ใช้สายสื่อสารเพียงสายเดียวมีความยาวของสายไม่จำกัด เชื่อมต่อสายสื่อสารไว้ตลอดเวลา (Lease Line) ซึ่งสายส่งอาจจะเป็นชนิดสายส่งทางเดียว (Simplex) สายส่งกึ่งทางคู่(Half-duplex) หรือสายส่งทางคู่แบบสมบูรณ์ (Full-duplex) ก็ได้ และสามารถส่งสัญญาณข้อมูลได้ทั้งแบบซิงโครนัสหรือแบบวิงโครนัส การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดมีได้หลายลักษณะดังรูปข้างต้น

2. การเชื่อมต่อแบบหลายจุด  (Multipoint or Multidrop)

เนื่องจากค่าเช่าช่องทางในการส่งผ่านข้อมูลต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดนั้นสิ้นเปลืองสายสื่อสารมากการส่งข้อมูลไม่ได้ใช้งานตลอดเวลา จึงมีแนวความคิดที่จะใช้สายสื่อสารเพียงสายเดียวแต่เชื่อมต่อกับหลายๆ จุด ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ลักษณะการเชื่อมต่อแบบหลายจุดแสดงให้เห็นได้

การเชื่อมต่อแบบหลายจุดแต่จุดจะมีบัพเฟอร์  (Buffer) ซึ่งเป็นที่พักเก็บข้อมูลชั่วคราวก่อนทำการส่ง โดยบัพเฟอร์จะรับข้อมูลมาเก็บเรื่อย ๆ จนเต็มบัพเฟอร์ ข้อมูลจะถูกส่งทันทีหรือเมื่อมีคำสั่งให้ส่ง เพื่อใช้สายสื่อสารให้เต็มประสิทธิภาพในการส่งแต่ละครั้ง และช่วงใดที่ว่างก็สามารถให้ผู้อื่นส่งได้ การเชื่อมต่อแบบนี้จะเหมาะกับการสื่อสารที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก และเป็นข้อมูลที่ไม่ต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการสื่อสารข้อมูลโดยวิธีการเชื่อมต่อแบบหลายจุดจะประหยัดค่าใช้จ่าย และใช้ระบบสื่อสารได้ค่อนข้างเต็มประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการดังต่อไปนี้

1. ประสิทธิภาพของเครื่องและซอฟต์แวร์ที่ใช้สื่อสารข้อมูล

2. ปริมาณการส่งผ่านข้อมูลที่เกิดขึ้นจากสถานีส่งและรับข้อมูล

3. ความเร็วของช่องทางการส่งผ่านข้อมูลที่ใช้

4. ข้อจำกัดที่ออกโดยองค์การที่ควบคุมการสื่อสารของแต่ละประเทศ

3. การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสาร  (Switched Network)

จากรูปแบบการเชื่อมต่อที่เป็นแบบจุดซึ่งต้องต่อสายสื่อสารไว้ตลอดเวลา แต่ในทางปฏิบัติจริงแล้วการสื่อสารข้อมูลไม่ได้ผ่านตลอดเวลา ดังนั้นจึงมีแนวความคิด ในการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารหรือเครือข่ายสวิตซ์ซิ่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุดให้สามารถใช้สื่อสารได้มากที่สุด ลักษณะเครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารสามารถแสดงได้ดังรูป

เครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารที่เห็นโดยทั่วไปมี 4 รูปแบบดังนี้

1. เครือข่ายสื่อสารโทรศัพท์ (The Telephone NetworK)

2. เครือข่ายสื่อสารเทลเล็กช์ (The Telex/TWX Network)

3. เครือข่ายสื่อสารแพคเกตสวิตซ์ซิ่ง (package Switching Network)

4. เครือข่ายสื่อสารสเปเซียลไลซ์ ดิจิตอล (Specialized Digital Network)

หลักการทำงานของเครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารดังนี้

1. การเชื่อมต่อด้องเป็นแบบจุดต่อจุด

2. ต้องมีการเชื่อมต่อการสื่อสารกันทั้งฝ่ายรับและส่งก่อนจะเริ่มรับหรือส่งข้อมูล เช่น หมุนเบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น

3. หลังจากสื่อสารกันเสร็จเรียบร้อยจะต้องตัดการเชื่อมต่อ เพื่อให้ผู้อื่นใช้สายสื่อสารได้ต่อไป

สื่อกลางที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล

องค์ประกอบที่สำคัญที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลอันหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือสายสื่อกลาง ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ สื่อกลางที่กำหนดเส้นทางได้ เช่น สายโคแอกเซียล (Coaxial) สายเกลียวคู่ (Twisted-pair) สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic) และสื่อกลางที่กำหนดเส้นทางไม่ได้ เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นดาวเทียม คลื่นไมโครเวฟ เป็นต้น

การเลือกสื่อกลางที่จะนำมาใช้ในการเชื่อมต่อระบบสื่อสารข้อมูลนั้น จำเป็นต้องพิจารณากันหลายประการ เช่น ความเร็วในการส่งข้อมูล ราคาของอุปกรณ์ที่ใช้ สถานที่ใช้ การบริการ การควบคุม ตลอดจนเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ ซึ่งลื่อกลางแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป

 สายโคแอกเซียล (Coaxial Cable)

สายโคแอกเซียลเป็นสายที่นิยมใช้กันค่อนข้างมากในระบบการสื่อสารความถี่สูง เช่น สายอากาศของทีวี สายชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้มีค่าความต้านทาน 75 โอห์มและ 50 โอห์ม โดยสาย 75 โอห์ม ส่วนใหญ่ใช้กับสายอากาศทีวีและสาย 50 โอห์ม จะนำมาใช้กับการสื่อสารที่เป็นระบบดิจิตอล

คุณสมบัติของสายโคแอกเซียลประกอบด้วยตัวนำสองสาย โดยมีสายหนึ่งเป็นแกนอยู่ตรงกลางและอีกเส้นเป็นตัวนำล้อมรอบอยู่อีกชั้น มีขนาดของสาย 0.4 ถึง 1 นิ้ว

สายโคแอกเซียลมี 2 แบบ คือ แบบหนา (Thick) และแบบบาง (Thin) แบบหนาจะแข็ง การเดินสายทำได้ค่อนข้างยาก แต่สามารถส่งสัญญาณได้ไกลกว่าแบบบางสามารถ เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของสายสื่อสารกลางแบบโคแอกเชียลได้ดังต่อไปนี้

สายคู่บิดเกลียว (Twisted-Pair)

สายคู่เกลียวเป็นสายมาตรฐานสองเส้นหุ้มด้วยฉนวนแล้วบิดเป็นเกลียว สามารถรับส่งข้อมูลได้ทั้งแบบ อนาลอกและแบบดิจิตอล สายชนิดนี้จะมีขนาด 0.015-0.056 นิ้ว ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็ว 10 เมกะบิทต่อวินาที ถ้าใช้ส่งสัญญาณแบบอนาลอกจะต้องใช้วงจรขยายหรือแอมพลิฟายเออร์ ทุก ๆ ระยะ 5-6 กม. แต่ถ้าต้องการส่งสัญญาณแบบดิจิตอลจะต้องใช้อุปกรณ์ทำซ้ำสัญญาณ (Repeater) ทุก ๆ ระยะ 2-3 กม. โดยทั่วไปแล้วสำหรับการส่งข้อมูลแบบดิจิตอล สัญญาณที่ส่งเป็นลักษณะคลื่นสี่เหลี่ยม สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลได้หลายเมกะบิตต่อวินาทีในระยะทางได้ไกลหลายกิโลเมตร เนื่องจากสายคู่เกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี และมีน้ำหนักเบา นอกจากนั้นยังง่ายต่อการติดตั้ง จึงถูกใช้งานอย่างกว้างขวางตัวอย่างของสายคู่บิดเกลียว คือ สายโทรศัพท์ สำหรับสายคู่บิดเกลียวนั้นจะมีอยู่ 2 ชนิดคือ

1. สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

2. สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน  (Unshielded Twisted Pair : UTP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่บางทำให้สะดวกในการโค้งงอ แต่จะป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก

สายส่งข้อมูลแบบไฟเบอร์ออฟติกจะประกอบด้วยเส้นใยทำจากแก้ว 2 ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ตรงแกนกลาง อีกชนิดหนึ่งอยู่ด้านนอก โดยที่ใยแก้วทั้ง 2 นี้จะมีดัชนีในการสะท้อนแสงต่างกัน ทำให้แสงที่ส่งจากปลายด้านหนึ่งผ่านไปยังอีกด้านหนึ่งได้

สายส่งแบบไฟเบอร์ออฟติก  (Fiber Optic)

เป็นการส่งสัญญาณด้วยใยแก้ว และส่งสัญญาณด้วยแสงมีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสามารถส่งข้อมูล ได้ด้วยเร็วเท่ากับแสง ไม่มีสัญญาณรบกวนจากภายนอก

สายส่งข้อมูลแบบไฟเบอร์ออฟติกจะประกอบด้วยเส้นใยแก้ว 2 ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ตรงแกนกลาง อีกชนิดหนึ่งอยู่ด้านนอก โดยที่ใยแก้วทั้ง 2 นี้จะมีดัชนีในการสะท้อนแสงต่างกัน ทำให้แสงที่ส่งจากปลายด้านหนึ่งผ่านไปยังอีกด้านหนึ่งได้

อุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์

โมเด็ม (MODEM)

MODEM มาจากคำเต็มว่า Modulator – DEModulator ทำหน้าที่แปลงสัญญาณข้อมูลดิจิตอล ที่ได้รับจากเครื่องส่งหรือคอมพิวเตอร์ เป็นสัญญาณแบบอนาลอกก่อนทำการส่งไปยังปลายทางต่อไป โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ และเมื่อส่งถึงปลายทางก็จะมีโมเด็มทำหน้าที่แปลงสัญญาณจากอนาลอกให้เป็นดิจิตอล เพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์ปลายทาง

 มัลติเพล็กซ์เซอร์ (Multiplexer)

วิธีการเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างผู้รับและผู้ส่งปลายทางที่ง่ายที่สุดคือ การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด (Point to Point) แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงและใช้งานไม่เต็มที่ จึงมีวิธีการเชื่อมต่อที่ยุ่งยากขึ้น คือการเชื่อมต่อแบบหลายจุดซึ่งใช้สายสื่อสารเพียงเส้น 802.3

คอนเซนเตรเตอร์ (Concentrator)

คอนเซนเตรเตอร์เป็นมัลติเพล็กซ์เซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถเพิ่มสายหรือช่องทางการส่งข้อมูลได้มากขึ้น การส่งข้อมูลจะเป็นแบบอซิงโครนัส

คอนโทรลเลอร์(Controller)

คอนโทรลเลอร์เป็นมัลติเพล็กซ์เซอร์ที่ส่งข้อมูลแบบอซิงโครนัส ที่สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงได้ดี การทำงานจะต้องมีโปรโตคอลพิเศษสำหรับกำหนด วิธีการรับส่งข้อมูล มีบอร์ดวงจรไฟฟ้าและซอฟต์แวร์สำหรับคอมพิวเตอร์

ฮับ (HUB)

ฮับเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำหน้าที่เช่นเดียวกับมัลติเพล็กซ์เซอร์ ซึ่งนิยมใช้กับระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) มีราคาต่ำ ติดต่อสื่อสารข้อมูลตามมาตรฐาน IEEE 802.3

ฟรอนต์ เอ็นโปรเซสเซอร์  FEP (Front-End Processor)

FEP เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างโฮสต์คอมพิวเตอร์ หรือมินิคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่ายสำหรับสื่อสารข้อมูล เช่น โมเด็ม มัลติเล็กซ์เซอร์ เป็นต้น FEP เป็นอุปกรณ์ทีมีหน่วยความจำ (RAM) และซอฟต์แวร์สำหรับควบคุมการทำงานเป็นของตัวเองโดยมีหน้าที่หลักคือ ทำหน้าที่แก้ไขข่าวสาร เก็บข่าวสาร เปลี่ยนรหัสรวบรวมหรือกระจายอักขระ ควบคุมอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูล จัดคิวเข้าออกของข้อมูล ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการส่งข้อมูล

 อิมูเลเตอร์ (Emulator)

อิมูเลเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนกลุ่มข่าวสารจาก โปรโตคอลแบบหนึ่งไปเป็นกลุ่มข่าวสาร ซึ่งใช้โปรโตคอลอีกแบบหนึ่ง แต่จะเป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์หรือเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ก็ได้ บางครั้งอาจจะเป็นทั้ง 2 อย่าง โดยทำให้คอมพิวเตอร์ที่ต่อเข้ามานั้นดูเหมือนเป็นเครื่องเทอร์มินัลหนึ่งเครื่อง โฮสต์หรือมินิคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนิยมนำเครื่อง PC มาใช้เป็นเทอร์มินัลของเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้เพราะประหยัดกว่าและเมื่อไรที่ไม่ใช้ติดต่อกับมินิ หรือเมนแฟรมก็สามารถใช้เป็น PC ทั่วไปได้

เกตเวย์ (Gateway)

เกตเวย์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีหน้าที่หลักคือ ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2  เครือข่ายหรือมากกว่าซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน สามารถสื่อสารกันได้เสมือนกับเป็นเครือข่ายเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วระบบเครือข่ายแต่ละเครือข่ายอาจจะแตกต่างกันในหลายกรณี เช่น ลักษณะการเชื่อมต่อ (Connectivity) ที่ไม่เหมือนกัน โปรโตคอลที่ใช้สำหรับรับส่งข้อมูลต่างกัน เป็นต้น

บริดจ์ (Bridge)

เป็นอุปกรณ์ IWU (Inter Working Unit)  ที่ใช้สำหรับเชื่อมเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network หรือ LAN) 2 เครือข่ายเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจจะใช้โปรโตคอลที่เหมือนกันหรือต่างกันก็ได้

เราเตอร์ (Router)

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อเครือข่ายเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจจะเป็นเครือข่ายเดียวกันหรือข้ามเครือข่ายกัน โดยการเชื่อมกันระหว่างหลายเครือข่ายแบบนี้เรียกว่า เครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) โดยเครือข่ายแต่ละเครือข่ายจะเรียกว่า เครือข่ายย่อย (Subnetwork) ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้เชื่ออมต่อระหว่างเครือข่าย เรียกว่า IWU (Inter Working Unit) ได้แก่ เราเตอร์และบริดจ์

รีพีตเตอร์ (Repeater)

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับส่งสัญญาณซ้ำ เพื่อส่งสัญญาณต่อไปนี้ในระยะไกลป้องกันการขาดหายของสัญญาณ ซึ่งรูปแบบของเครือข่ายแต่ละแบบรวมทั้งสายสัญญาณที่ใช้เป็นตัวกลางหรือสื่อกลาง แต่ละชนิดจะมีข้อจำกัดของระยะทางในการส่ง ดังนั้นเมื่อต้องการส่งสัญญาณให้ไกลกว่าปกติต้องเชื่อมต่อกับรีพีตเตอร์ดังกล่าว เพื่อทำให้สามารถส่งสัญญาณ ได้ไกลยิ่งขึ้น

เครือข่าย (Networks)

เครือข่าย หมายถึง กลุ่มของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันดังนั้นเครือข่ายคอมพิวเตอร์จึงประกอบด้วยสื่อการติดต่อสื่อสาร อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 ระบบเข้าด้วยกัน รวมทั้งอุปกรณ์อื่น ๆ

ความจำเป็นในการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความจำเป็นในการทำงานในยุคปัจจุบัน ด้วยเหตุผลดังนี้

1) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้การทำงานมีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และปรับตัวให้เข้ากับเงื่อนไขต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

2) เครือข่ายช่วยให้หน่วยงานประหยัดงบประมาณโดยช่วยสนับสนุนการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ร่วมกัน เช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และฐานข้อมูล

3) เครือข่ายทำให้พนักงานหรือทีมงานของหน่วยงานที่อยู่ห่างไกลกันสามารถใช้เอกสารร่วมกัน และแลกเปลี่ยนแนวคิด ความเห็น ตลอดจนเสริมให้การทำงานเป็นทีมมีประสิทธิภาพดีขึ้น และกระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ ๆ

4) เครือข่ายช่วยสร้างให้การติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานกับลูกค้าหรือองค์การภายนอกมีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น

ประเภทของเครือข่าย

1) จำแนกตามพื้นที่

เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network-LAN)

เป็นการติดต่ออุปกรณ์สื่อสารตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไประยะ 2,000 ฟุต (โดยปกติจะอยู่ในอาคารเดียวกัน) LAN จะช่วยให้ผู้ใช้จำนวนมากสามารถใช้ทรัพยากรของหน่วยงานร่วมกัน เช่น พรินต์เตอร์ โปรแกรม และไฟล์ข้อมูล ในกรณีที่ LAN ต้องการเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะภายนอก เช่น เครือข่ายโทรศัพท์หรือเครือข่ายของหน่วยงานอื่น จะต้องมี gateway ซึ่งทำหน้าที่เหมือนประตูติดต่อระหว่างเครือข่ายที่แตกต่างกัน โดยช่วยแปลโปรโตคอลของเครือข่ายให้กับอีกโปรโตคอลหนึ่งเพื่อจะทำงานร่วมกันได้

เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network-MAN)

เครือข่ายเป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงขนาดใหญ่ขึ้นภายในพื้นที่บริเวณใกล้เคียง เช่น ในเมืองเดียวกัน

เครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide Area Network-WAN)

เป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมพื้นที่ในบริเวณกว้างโดยครอบคลุมทั้งประเทศหรือทั้งทวีป WAN จะอาศัยสื่อโทรคมนาคมหลายประเภท เช่น เคเบิ้ล ดาวเทียม และไมโครเวฟ

2) แบ่งตามความเป็นเจ้าของ

เครือข่ายสาธารณะ (Public Network)

เป็นเครือข่ายที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้โดยทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ ดังนั้นผู้ใช้จะต้องแข่งกับผู้ใช้รายอื่น โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีผู้ใช้จำนานมาก เช่น ระบบโทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งผู้ใช้ไม่มีหลักประกันว่าสายจะว่างในช่วงนี้ต้องการหรือไม่

เครือข่ายเอกชน (Private Network)

เป็นเครือข่ายที่หน่วยงานสามารถเป็นเจ้าของเอง หรือ เช่าเพื่อประโยชน์ในการสื่อสาร กรณีนี้ก็จะเป็นหลักประกันว่าหน่วยงานจะมีโอกาสได้ใช้เครือข่ายเมื่อต้องการเสมอ

เครือข่ายแบบมูลค่าเพิ่ม (Value-added Network-VAN)

เป็นเครือข่ายกึ่งสาธารณะซึ่งให้บริการเพิ่มขึ้นจากการติดต่อสื่อสารปกติผู้ให้บริการสื่อสาร (Communication service provider) เป็นเจ้าของ VAN อย่างไรก็ตาม VAN เร็วกว่าเครือข่ายสาธารณะและมีความปลอดภัยมากกว่า เครือข่ายสาธารณะ

เครือข่ายเอกชนเสมือนจริง (Virtual Private Network-VPN)

เป็นเครือข่ายสาธารณะที่รับประกันว่าผู้ใช้จะมีโอกาสใช้งานเครือข่ายได้ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ให้สายหรือช่องทางการสื่อสารแก่หน่วยงานผู้ใช้โดยเฉพาะ แต่จะใช้วิธีแปลงรหัสข้อมูลของหน่วยงานผู้ใช้โดยเฉพาะ แต่จะใช้วิธีแปลงรหัสข้อมูลของหน่วยงานเพื่อที่จะส่งไปพร้อม ๆ กับหน่วยงานอื่น ๆ

Network Topology

คือการออกแบบและการติดต่อเชื่อมโยงกันของเครือข่ายทางกายภาพ โดยทั่วไปโทโปโลจีพื้นฐานมีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้

1) แบบดาว (Star Network)

เป็นเครือข่ายที่คอมพิวเตอร์ทุกตัวและอุปกรณ์อื่นเชื่อมกับโฮสต์คอมพิวเตอร์ที่อยู่ และการสื่อสารทั้งหมดระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครือข่ายต้องผ่านโฮสต์คอมพิวเตอร์ เนื่องจากโฮสต์คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมอุปกรณ์อื่นทั้งหมดในเครือข่าย เครือข่ายแบบดาวเหมาะสำหรับการประมวลผลที่มีลักษณะรวมศูนย์ อย่างไรก็ตามข้อจำกัดของแบบนี้ คือ หากใช้โฮสต์คอมพิวเตอร์ก็จะทำให้ระบบทั้งหมดทำงานไม่ได้

2) แบบบัส (Bus Network)

เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์โดยใช้สายวงจรเดียว ซึ่งอาจจะเป็นสายเกลียวคู่สายโคแอกเชียล หรือ สายใยแก้วก็ได้ สัญญาณสามารถสื่อสารได้ 2 ทางในเครือข่ายโดยมีซอฟต์แวร์คอยช่วยแยกว่าอุปกรณ์ใดจะเป็นตัวรับข้อมูล หากมีคอมพิวเตอร์ตัวใดในระบบล้มเหลวจะไม่มีผล ต่อคอมพิวเตอร์อื่น อย่างไรก็ตามช่องทางในระบบเครือข่ายแบบนี้สามารถจัดการรับข้อมูลได้ครั้งละ 1 ชุดเท่านั้น ดังนั้นจึงเกิดปัญหาการจราจรของข้อมูลได้ในกรณีที่มีผู้ต้องการใช้งานพร้อมกัน โทโปโลจีแบบนี้นิยมใช้ในวงแลน

3) แบบวงแหวน (Ring Network)

คอมพิวเตอร์ทุกตัวเชื่อมโยงเป็นวงจรปิด ทำให้การส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งไปยังอีก ตัวหนึ่งโดยเดินทางไปในทิศทางเดียว คอมพิวเตอร์แต่ละตัวทำงานโดยอิสระ หากมีตัวใด ตัวหนึ่งเสียระบบการสื่อสารในเครือข่ายได้รับการกระทบกระเทือน ยกเว้นจะมีวงแหวนคู่ในการรับส่ง ข้อมูลในทิศทางต่างๆ กัน เพื่อเป็นเส้นทางสำรองในการป้องกันไม่ให้เครือข่ายหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง

นอกจากโทโปโลจีทั้ง 3 แบบที่กล่าวข้างต้น อาจจะพบโทโปโลจีแบบอื่นๆ เช่น แบบโครงสร้างลำดับชั้น (Hierarchical Network) ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างคล้ายต้นไม้ (Tree) หรือมีแบบผสม (Hybrid) อย่างไรก็ตามโทโปโลจีแต่ละประเภทจะมีข้อดีและ ข้อจำกัดแตกต่างกันผู้พัฒนาระบบจะต้องพิจารณาถึงความเร็ว ความเชื่อถือได้ และความสามารถของเครือข่ายในการทำงาน หรือการแก้ไขข้อบกพร่องในกรณีที่อุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง ในระบบมีปัญหาตลอดจนลักษณะทางกายภาพ เช่น ระยะห่างของ node และต้นทุนของทั้งระบบ

รูปแบบการประมวลผลแบบกระจายเครือข่าย (Organizational Distributed Processing)

วิธีการประมวลผลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์มี 3 รูปแบบ คือ

1.Terminal-to-Host Processing

2. File Server Processing


3. Client/Server

ที่มา : https://chalad.wordpress.com/subject/31241-2/31241-lesson-3/